หน่วยที่ 3

เรื่อง การคำนวณและการใช้สูตร


เป็นโปรแกรมที่มีความสามารถในการคำนวณในด้านต่างๆ อย่างสูง เช่น เกี่ยวกับการเงิน ตรรกะ วัน เวลา คณิตศาสตร์ หรือสถิติ เป็นต้น รวมถึงยังมีฟังก์ชั่นมาตรฐานที่ใช้งานทั่วไปจนถึงฟังก์ชั่นการคำนวณที่ซับซ้อนเตรียมพร้อมเพื่อรองรับการใช้งานอีกด้วย

การคำนวณ
เราสามารถกำหนดให้ผลลัพธ์เซลล์ที่ต้องการมาจากการคำนวณได้เพียงพิมพ์เครื่องหมายเท่ากับ (=) ในเซลล์ที่ต้องการ และตามด้วยสูตรที่ใช้ในการคำนวณ ซึ่งประกอบด้วยค่าที่ต้องการนำมาคำนวณ และตัวดำเนินการ (Operator) เช่น การหาผลต่างของ รายรับ รายจ่าย (คงเหลือ = รายรับ - รายจ่าย) จากรูปจะเห็นว่าเซล C6 คือผลลัพธ์ที่เกิดจาก เซล C4 – เซล C5 ดังนั้นหากเซล C4 หรือ เซล C5 เปลี่ยนค่าไป เซล C6 จะเปลี่ยนค่าเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งการคำนวณนั้นจะเหมือนกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์โดยทั่วไปคือ หากมีวงเล็บ จะทำการคำนวณในวงเล็บก่อนเสมอ (ต่อไปนี้จะขอเรียกตำแหน่งเซลเพียงสั้นๆ จากเซล C4 เป็น C4 เพียงสั้นๆลักษณะของตัวดำเนินการใน Microsoft Excel นั้นจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลักๆ คือ ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ ตัวดำเนินการเปรียบเทียบ ตัวดำเนินการเกี่ยวกับข้อความ ตัวดำเนินการอ้างอิง

การอ้างอิงตำแหน่งเซล
โดยปกติการคำนวณ หรือการใช้ฟังก์ชั่นมีความจำเป็นต้องอ้างอิงตำแหน่งของเซลล์ด้วย เช่น
C6=C4-C5 ซึ่งการอ้างอิงเซลล์ของ Microsoft Excel 2007 มีด้วยกัน 3 วิธีคือ
  v Relative Reference : เป็นการอ้างอิงตำแหน่งเซลแบบสัมพัทธ์ คือ เซลที่ถูกคัดลอก หรือย้าย
ตำแหน่งของเซลล์ปลายทางจะเปลี่ยนตำแหน่งโดยอัตโนมัติ เช่น A2=B2+C2 เมื่อคัดลอกสูตรจาก A2
ไปที่ A4 สูตรที่ A4 จะเป็นดังนี้ A4=B4+C4 เป็นต้น
  v Absolute Reference : เป็นการอ้างอิงเซลแบบสมบูรณ์ คือ เซลที่ถูกคัดลอก หรือย้าย ตำแหน่งของ
เซลปลายทางจะคงตำแหน่งเซลต้นทางเดิมไว้ เช่น A2=$B$2+$C$2 เมื่อคัดลอกสูตรจาก A2 ไปที่ A4
สูตรที่ A4 จะเป็นดังนี้ A4= $B$2+$C$2 เช่นเดิม ซึ่งหากเราต้องการให้แถว หรือคอลัมน์คงที่ตำแหน่ง
เดิมไว้ เพียงใส่เครื่องหมาย $ ไว้หน้าแถว หรือคอลัมน์นั้นๆ
  v Mixed Reference : เป็นการอ้างอิงแบบผสมทั้ง Relative Reference และ Absolute Reference เช่น เซลที่ถูกคัดลอก หรือย้าย ตำแหน่งของเซลปลายทางจะเปลี่ยนตำแหน่งโดยอัตโนมัติสำหรับการอ้างอิงแบบ Relative Reference และจะคงตำแหน่งเซลต้นทางเดิมไว้ Absolute Reference เช่นA2=B2+$C$2 เมื่อคัดลอกสูตรจาก A2 ไปที่ A4 สูตรที่ A4 จะเป็นดังนี้ A4= B4+$C$2 เป็นต้น

ข้อความแสดงความผิดพลาดจากสูตรคำนวณ
การที่เราใช้งานสูตรคำนวณนั้นบางครั้งอาจเกิดการผิดพลาดได้ ซึ่ง Microsoft Excel 2007 มีข้อความแสดงความผิดพลาดให้เราทราบตังต่อไปนี้
ข้อความแสดงความผิดพลาด สาเหตุ
##### ข้อมูลในเซลมีความยาวเกินกว่าที่แสดงผลได้
#VALUE! ใช้ตัวดำเนินการผิดประเภท
#NULL! เซลที่อ้างอิงผิด ทำให้ไม่สามารถกำหนดเซลที่ต้องการได้
#DIV/0! ตัวหารเป็น 0
#NAME? ไม่มีชื่อเซลที่อ้างอิง ไม่มีชื่อฟังก์ชั่น ใส่อากิวเมนต์ผิด ใช้ข้อความตัวอักษรโดยไม่ใส่เครื่องหมาย “ ”
#N/A พิมพ์จำนวนอาร์กิวเมนต์ไม่ถูกต้อง
#REF! เซลที่อ้างอิงถูกลบ
#NUM! ใช้อาร์กิวเมนต์ที่ไม่ใช่ตัวเลขไปสูตรที่ต้องใช้ตัวเลข

ฟังก์ชั่น
คือสูตรการคำนวณที่ถูกสร้างไว้ล่วงหน้า เพื่อสนับสนุนการทำงานประเภทต่างๆ ซึ่งแต่ละฟังก์ชั่นจะมี
รูปแบบมาตรฐาน ดังนี้
ชื่อฟังก์ชั่น : (อากิวเมนต์ 1, อากิวเมนต์ 2, อากิวเมนต์ 3, ... ,อากิวเมนต์ n)
  v ชื่อฟังก์ชั่น : เป็นชื่อที่ใช้เรียกฟังก์ชั่น โดยปกติชื่อจะแสดงถึงลักษณะการทำงานของฟังก์ชั่น เช่น
      ฟังก์ชั่น SUM จะหมายถึง ฟังก์ชั่นที่ทำหน้าที่คำนวณผลรวมของอากิวเมนต์
  v อากิวเมนต์ : เป็นส่วนที่ฟังก์ชั่นจะนำไปใช้คำนวณ หรือประมวลผล ซึ่งอากิวเมนต์จะอยู่ภายในวงเล็บ
      และอากิวเมนต์จะถูกแยกกันด้วยเครื่องหมายคอมม่า (,)

การใช้งานฟังก์ชั่น
การใช้งานฟังก์ชั่นสามารถใช้งานได้หลายแบบ ดังวิธีการต่อไปนี้ 
  v พิมพ์ฟังก์ชั่น และอากิวเมนต์ลงในเซลที่ต้องการโดยตรง : ซึ่งวิธีนี้เหมาะสำหรับกรณีที่เรารู้ชื่อ
     ฟังก์ชั่น หรืออากิวเมนต์อยู่แล้ว
  v เลือกฟังก์ชั่นจากไลบรารี : เป็นฟังก์ชั่นที่ถูกรวบรวมไว้เป็นกลุ่มถูกแยกตามประเภทของการใช้งาน
   ซึ่งการเรียกใช้งานฟังก์ชั่นจากไลบรารีสามารถเรียกใช้งานได้ที่แท็บ Formulas ซึ่งกลุ่มของฟังก์ชั่นสามารถแบ่งเป็น       ประเภทได้ดังต่อไปนี้
1. Financial : เกี่ยวกับการเงิน เช่น การชำระค่างวด หรืออัตราดอกเบี้ย เป็นต้น
2. Logical : เป็นการคำนวณแบบมีเงื่อนไขตรรกกะทางคณิตศาสตร์ มีผลลัพธ์ที่เป็นจริง หรือเท็จ
3. Text : เกี่ยวกับข้อมูลประเภทตัวอักษร เช่น การแปลงตัวอักษร ตัดคำ หรือต่อคำ เป็นต้น
4. Date & Time : เกี่ยวกับวัน และเวลา เช่น การแปลงค่าวัน เวลา หรือการเพิ่ม-ลด วันเวลา เป็นต้น
5. Lookup & Reference : เกี่ยวกับการค้นหา และอ้างอิงข้อมูลภายในตารางตามเงื่อนไขที่กำหนด
6. Math & Trig : เกี่ยวกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น ผลรวม หรือค่ารากที่สอง เป็นต้น

7. More Function : เกี่ยวกับสูตรในสาขาอื่นๆ เช่นทางสถิติ หรือวิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น


รูปแบบการคำนวณด้วย Excel
          เราสามารถใช้โปรแกรม Excel สร้างตารางคำนวณได้หลายรูปแบบ  ตัวที่จะช่วยเราคงหนีไม่พ้นการนำสูตรและฟังก์ชันมาใช้  ดังนั้นเราควรรู้ความสามารถในการคำนวณของ Excel  สามารถทำอะไรได้บ้าง  เกี่ยวกับการคำนวณอัตโนมัติ  การสร้างสูตร  การใช้ฟังก์ชัน  หรือการแก้ปัญหาในกรณีที่เกิดความผิดพลาดในการเขียนสูตร ซึ่งถ้าเราเข้าใจหลักการต่าง ๆ แล้ว  Excel  จะช่วยให้เราทำงานได้สะดวกขึ้น และการใช้สูตรไม่ยากอีกต่อไป

การคำนวณอัตโนมัติ
          บางขณะที่เราป้อนตัวเลขในตาราง เราอาจจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบตัวเลขหรือดูผลลัพธ์ว่าถูกต้องหรือไม่ โดยไม่ต้องการให้แสดงผลลัพธ์ในตารางนั้น ๆ เราสามารถใช้การคำนวณอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้สามารถทราบผลลัพธ์ได้ทันที โดยที่ไม่ต้องป้อนสูตรหรือฟังก์ชันใด ๆ ด้วยการดูผลลัพธ์ที่ Status Bar (แถบสถานะ) ซึ่งมีวิธีการใช้ดังนี้
1. แดรกเมาส์เลือกช่วงเซลล์ที่ต้องการให้คำนวณ


2. คลิกขวาที่ แถบสถานะ จะปรากฏกล่องแสดงคำสั่ง
3. เลือกคำสั่งที่ต้องการ (ในที่นี่เลือกคำสั่ง ผลรวม)


5. จะปรากฏผลลัพธ์ที่ แถบสถานะ


จากวิธีการดังกล่าวจะเห็นว่าเราสามารถเปลี่ยนคำสั่งในการคำนวณได้ตามที่ต้องการดังรูป






การคำนวณโดยใช้สูตร
การใช้สูตรเป็นวิธีที่ใช้ในการคำนวณที่นิยมมากที่สุด เพราะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว และสูตรบางอย่างยังสามารถช่วยคำนวณข้อมูลตัวเลขที่ซับซ้อนได้อีก แต่ละสูตรมีรูปแบบการใช้ที่แตกต่างกันออกไปการใช้งานสูตรรูปแบบปกติ (Formula)
สูตรรูปแบบปกติจะเป็นสูตรที่เป็นสมการที่ใช้ดำเนินการกับข้อมูลในชีทด้วยการใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ เช่น เครื่องหมายบวก ลบ คูณ หาร การอ้างอิงเซลล์อื่น หรือสูตรที่ใช้รวมข้อความ เป็นต้น

การใช้งานสูตรแบบฟังก์ชัน (Function)
           เราสามารถใช้สูตรแบบฟังก์ชันช่วยคำนวณข้อมูลที่ซับซ้อนหรือมดีปริมาณมากได้  ซึ่งฟังก์ชันในExcel  เป็นสูตรที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและถูกสร้างให้เหมาะกับงานเฉพาะอย่าง 

การใช้งานสูตรแบบอาร์เรย์ (Array)
           การใช้สูตรแบบอาร์เรย์สามารถทำหลาย ๆ การคำนวณให้คืนค่าเป็นผลลัพธ์เดียวหรือหลายผลลัพธ์โดยสูตรอาร์เรย์ตั้งแต่ 2 ชุดขึ้นไป

 สูตรแบบต่าง ๆ จะมีความยากง่ายแตกต่างกันออกไป ซึ่งการสร้างสูตรนั้นเราจะต้องทราบหลักการทำงานของเครื่องหมายและสัญลักษณ์ในสูตร รวมถึงลำดับการคำนวณ  เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลต่อการแสดงผลลัพธ์ทั้งสิ้น

การสร้างสูตรคำนวณใช้เอง
          การสร้างสูตรใช้เองนั้นจำเป็นจะต้องทราบถึงหลักการและองค์ประกอบสำคัญต่าง ๆ ที่ประกอบอยู่ในสูตรรวมถึงลำดับที่เราจะใช้ในการสร้างสูตรด้วย

หลักการสร้างสูตร
          โครงสร้างหรือลำดับขององค์ประกอบต่าง ๆ ในสูตร จะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายซึ่ง Excel จะคำนวณสูตรจากซ้ายไปขวา แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลำดับของตัวดำเนินการที่มีลำดับเหนือกว่า โดยที่เราสามารถควบคุมลำดับของการคำนวณได้โดยใช้เครื่องหมายวงเล็บเพื่อจัดกลุ่มในการคำนวณที่ควรจะเริ่มทำก่อน


องค์ประกอบสำคัญในการสร้างสูตร
ในการสร้างสูตรใช้งานต่าง ๆ ส่วนประกอบสำคัญต่อไปนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญซึ่งจะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ ประกอบด้วย เครื่องหมายเท่ากับ (=) จะเป็นตัวขึ้นต้นเสมอในการสร้างสูตร เพื่อเป็นการระบุให้ Excel รู้ว่าอักขระตัวถัดไปเป็นสูตร อาร์กิวเมนต์ หรือองค์ประกอบที่จะถูกนำมาคำนวณ ได้แก่ อาร์กิวเมนต์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นตัวเลขหรือการอ้างอิงเซลล์หรือช่วง ป้ายชื่อ ชื่อ หรือฟังก์ชันแผ่นงาน ตัวดำเนินการในการคำนวณ เช่น เครื่องหมาย (+) เครื่องหมายหาร (/) ลำดับการคำนวณ โดยปกติแล้ว Excel จะลำดับการคำนวณเครื่องหมายดังต่อไปนี้ตามลำดับ 
1. วงเล็บ ( )  
2. คูณ ( * ) หาร ( / )  
3. บวก ( + ) ลบ ( - ) 
หมายเหตุ ลำดับความสำคัญเท่ากันให้คำนวณจากซ้ายไปขวา 

ลำดับที่ Excel ใช้ดำเนินการในสูตร
           หากใช้ตัวดำเนินการหลาย ๆ ตัวในสูตรเดียวกัน  ใน Excel  จะมีลำดับการดำเนินการตามลำดับดังนี้


ตัวดำเนินการที่ใช้ในสูตร (Operator)
เครื่องหมายหรือตัวดำเนินการคือ องค์ประกอบหนึ่งในสูตรโดยจะระบุชนิดของการคำนวณที่ต้องการซึ่ง Excel  จะแบ่งตัวดำเนินการออกเป็น  4  ประเภท  คือ  คณิตศาสตร์  การเปรียบเทียบ  ข้อความ  และการอ้างอิง

ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ (Arithmetic Operator) 
ตัวดำเนินการทางคณิตสาสตร์  ใช้คำนวณด้วยวิธีทางคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐาน  เช่น  การบวก  ลบ คูณ หาร การรวมตัวเลข  การหาผลลัพธ์ต่าง ๆ


ตัวดำเนินการเปรียบเทียบ (Comparison Operator) 
เราสามารถใช้ตัวดำเนินการเปรียบเทียบเพื่อการเปรียบค่าสองค่า โดยผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นค่าทางตรรกศาสตร์คือ True หรือ False


ตัวดำเนินการข้อความ (Text Concatenation Operator)
ตัวดำเนินการข้อความจะใช้เครื่องหมาย (&) ในการรวมข้อความหรือคำ 2 คำขึ้นไป เพื่อให้เป็นข้อความเดียวกัน


ตัวดำเนินการสำหรับอ้างอิง (Reference Operator)
ตัวดำเนินการอ้างอิงถูกนำมาใช้เพื่อรวมช่วงของเซลล์สำหรับการคำนวณ


การย้ายหรือคัดลอกสูตร
หลักการอ้างอิงเซลล์และแทนที่สูตร
การสร้างตารางคำนวณในรูปแบบต่าง ๆ นั้น  สูตรที่ใช้มักจะเป็นการอ้างอิงเซลล์อื่น ๆ ที่อยู่ในตารางเดียวกัน  และการอ้างอิงเซลล์ก็ยังไม่ได้ถูกจำกัดให้ทำได้เฉพาะในชีทเดียวกันเท่านั้น  แต่ยังสามารถอ้างอิงข้ามชีทหรือข้ามไฟล์ได้
รูปแบบการอ้างอิงเซลล์
เราจำเป็นต้องเข้าใจหลักการอ้างอิงเซลล์หรือข้อมูลที่มีอยู่ในสูตร  เพราะเมื่อใดที่มีการย้ายหรือการตัดลอกสูตร  มักจะมีผลต่อการเปลี่ยนตำแหน่งการอ้างอิงทั้งสิ้น  การอ้างอิงใน Excel  แบ่งออกเป็น  3  ลักษณะได้แก่  การอ้างอิงแบบสัมพัทธ์  การอ้างอิงแบบสัมบูรณ์  และการอ้างอิงแบบผสมผสาน  แต่ละแบบจะมีวิธีการและการใช้ที่แตกต่างกัน  อธิบายได้ดังนี้
การอ้างอิงแบบสัมพัทธ์(Relation References)
การอ้างอิงแบบสัมพัทธ์ คือ  การอ้างอิงไปที่เซลล์ใดหรือช่วงเซลล์ใดก็ตามเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง  เช่น  การย้ายหรือคัดลอกสูตร จะทำให้ตำแหน่งการอ้างอิงเปลี่ยนแปลงไปตามความสัมพัทธ์ของการย้ายหรือคัดลอก ตัวอย่างเช่น

         จากตารางเมื่อมีการใช้สูตร SUM  เพื่อหาผลรวมของยอดขายสินค้าในแต่ละวัน  โดยให้มีการอ้างอิงช่วง B2:D2  ซึ่งเป็นการอ้างอิงแบบสัมพัทธ์  ถ้าเราต้องการผลรวมของสิ้นค้ามรวันที่ 2  เราสามารถคัดลอกสูตรไปที่ F3 และ F4  การอ้างอิงจะถูกเปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติทั้นทีโดยที่เราไม่ต้องสร้างสูตรที่มีการอ้างอิงใหม่
         ดังนั้น  สูตรบางสูตรที่มีตำแหน่งการอ้างอิงเฉพาะเจาะจง  จำเป็นต้องมีการล๊อคตำแหน่งอ้างอิงนั้น ๆ เพราะเมื่อมีการย้ายหรือคัดลอกสูตร  จะทำให้ตำแหน่งที่ถูกอ้างอิงยังคงการล๊อกตำแหน่งเดิมไว้  ซึ่งการอ้างอิงแบบนี้เรียกว่า  การอ้างอิงแบบสัมบูรณ์ 

การอ้างอิงแบบสัมบูรณ์ (Absolute References)

          การอ้างอิงแบบสัมบูรณ์คือ  การล็อคตำแหน่งของการอ้างอิงโดยใช้เครื่องหมายดอลลาร์ ($)  หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า สตริง  โดยใส่เข้าไปในตำแหน่งของเซลล์มราถูกอ้างอิง  ซึ่งเมื่อมีการย้ายหรือคัดลอกสูตร  ตำแหน่งที่ถูกอ้างอิงจะไม่เปลี่ยนแปลง จากตารางเดิมจะแสดงให้เห็นผลลัพธ ์จากการใช้การอ้างอิงแบบสัมบูรณ์ดังนี้


    จากสูตรการอ้างอิงในสูตรจะถูกล็อกด้วยเครื่องหมาย $ ดังนั้นเมื่อมีการคัดลอก  ตำแหน่งการอ้างอิงจะยังเป็นตำแหน่งเดิม  การล็อคตำแหน่ง  ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ว่าจะล็อคแบบใด  เช่น  =SUM($A1:$A5)  หรือ  =SUM($A$1:$A$5)
        แต่บางครั้งเมื่อมีการย้ายหรือคัดลอกสูตร  เราอาจจะต้องการให้เปลี่ยนแปลงตำแหน่งแค่เฉพาะแถวหรือคอลัมน์  หรือบางที่ในสูตรที่มีการอ้างอิงเซลล์หลาย ๆ ตำแหน่ง  เราอาจจะต้องการล็อคตำแหน่งแต่ละตำแหน่งที่ไม่เหมือนกันได้  โดยใช้การอ้างอิงแบบผสมผสานกันระหว่างการอ้างอิงแบบสัมพัทธ์และแบบสัมบูรณ์

การอ้างอิงแบบผสมผสาน (Switch between Relative and Absolute References)
         การอ้างอิงแบบผสมผสานคือ  การนำการอ้างอิงแบบสัมพัทธ์และแบบสัมบูรณ์มาใช้ในสูตรเดียวกัน  ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการในการใช้สูตรของแต่ละตารางคำนวณ  โดยจะเน้นไปที่การประยุกต์ใช้  ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการออกแบบตารางคำนวณ
         การอ้างอิงไปยังตำแหน่งต่าง ๆ เราสามารถกำหนดให้ล็อคเฉพาะคอลัมน์หรือแถวได้  โดยใช้เครื่องหมาย $ เช่นเดียวกัน  โดยใส่เครื่องหมาย $ ไว้ข้างหน้าเฉพาะตำแหน่งที่ต้องการจะล็อค  เช่น  ในตำแหน่ง F2  ถ้าต้องการล็อคเฉพาะคอลัมน์ให้ใส่  $F2  หรือล็อคเฉพาะแถวให้ใส่  F$2  เมื่อมีการย้ายหรือคัดลอกสูตรตำแหน่งจะเปลี่ยนเฉพาะส่วนที่ไม่ได้ล็อค 

การอ้างอิงข้ามชีทหรือข้ามไฟล์
         บางครั้งเราอาจจำเป็นต้องใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในชีทอื่นหรือไฟล์อื่น  การที่เราจะนำข้อมูลมาเก็บไว้ในชีทเดียวกันหรือไฟล์เดียวกันทั้งหมด  อาจจะไม่สะดวกต่อการใช้หรืออาจทำให้ไฟล์งานนั้น ๆ ใหญ่เกินไป

การลิงค์ (Link)  ข้อมูลจากชีทงานที่อยู่ในไฟล์เดียวกัน
ในการสร้างตารางข้อมูลใน Excel  เรามักจะใช้ชีทหนึ่งเป็นฐานข้อมูล  และสร้างรายงานรูปแบบต่าง ๆ ไว้ในชีทอื่น หรือการทำรายงานโดยแยกเป็นรายเดือนในแต่ละชีท  ดังนั้นในไฟล์เดียวกันจึงมักจะมีการลิงค์ข้อมูลระหว่างชีทงานซึ่งจะแสดงเป็นตัวอย่างให้ดูได้ดังนี้




การแทนที่ของสูตรที่มีการคัดลอก
รูปแบบการอ้างอิงในสูตร ซึ่งจะมีผลต่อการย้ายหรือคัดลอกสูตร  เช่น  การอ้างอิงแบบสัมพัทธ์จะทำให้ตำแหน่งสูตรเปลี่ยนแปลงเมื่อมีการย้ายหรือคัดลอก  หรือการล็อคตำแหน่งสูตรเปลี่ยนแปลงเมื่อมีการย้ายหรือคัดลอก หรือการล็อคตำแหน่งแถวหรือคอลัมน์ก็มีผลต่อการคัดลอกเช่นเดียวกัน

การแทนที่สูตรด้วยค่าที่คำนวณได้
การแทนที่สูตรด้วยค่าจะเป็นการลบสูตรอย่างถาวร โดย Excel จะแทนที่เฉพาะค่าที่สูตรคำนวณได้ ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้

1. แดรกเมาส์เลือกเซลล์ที่ต้องการคัดลอก แล้วกดปุ่ม <Ctrl+C> เพื่อสั่ง Copy
          2. เลือกตำแหน่งเซลล์ที่ต้องการแทนที่


3. คลิกขวาเลือกคำสั่งวางแบบพิเศษ
4. คลิกเลือกตัวเลือก ค่า เพื่อสั่งให้วางเฉพาะค่า


5. คลิกปุ่ม  ตกลง

6. สูตรจะแทนที่เฉพาะค่าที่คำนวณได้





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น